วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อนุทินที่ 3

แบบฝึกหัดทบทวน  อนุทินที่  3
เมื่อนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้วจงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง


1. นักศึกษาอธิบายค่านิยามต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 
ตอบ     . การศึกษา   การศึกษาหมายความว่ากระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้การฝึกการอบรมการสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการการสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เรียนรู้เพื่ออะไรตอบคือเพื่อความเจริญของบุคคลและสังคม เรียนรู้อย่างไรตอบคือเรียนรู้โดยวิธีการต่างๆเช่นถ่ายทอดความรู้ฝึกอบรมสั่งสอนสังเกตวิเคราะห์สร้างองค์ความรู้สืบสานสร้างสรรค์จากบุคคลสื่อปัจจัยและสภาพแวดล้อม

           ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน  การศึกษาขั้นพื้นฐานหมายความว่าการศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา
 “สถานศึกษาขั้นพื้นฐานหมายความว่าสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน

            ค. การศึกษาตลอดชีวิต   การศึกษาตลอดชีวิตหมายความว่าการศึกษาที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดยเกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบการศึกษาตามอัธยาศัย

           ง. มาตรฐานการศึกษา   “มาตรฐานการศึกษาหมายความว่าข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะคุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่งและเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับส่งเสริมและกากับดูแลการตรวจสอบการประเมินและการประกันคุณภาพทางการศึกษา

           จ. การประกันคุณภาพภายใน  การประกันคุณภาพภายในหมายความว่าการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายในโดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเองหรือหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กากับดูแลสถานศึกษานั้น

          ช. การประกันคุณภาพภายนอก  การประกันคุณภาพภายนอกหมายความว่าการประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอกโดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สานักงานดังกล่าวรองรับเพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษา

           ซ. ผู้สอน  ผู้สอนหมายความว่าครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่างๆ

           ฌ. ครู   “ครูหมายความว่าบุคลากรวิชาชีพซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
ซึงอธิบายสมานคนได (2543,29) กล่าวว่าครูมีองค์ประกอบ 2 อย่างคือ
1. ทาหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอน
2. ทาหน้าที่นั้นในสถานศึกษา

            ญ. คณาจารย์  คณาจารย์หมายความว่าบุคลากรซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาของรัฐและเอกชน

            ฐ.ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาหมายความว่าบุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน

           ฒ.ผู้บริหารการศึกษา   “ผู้บริหารการศึกษาหมายความว่าบุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป

           ณ. บุคลากรทางการศึกษา  “บุคลากรทางการศึกษาหมายความว่าผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษารวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทาหน้าที่ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอนการนิเทศและการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ



2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษานี้อย่างไรบ้างให้อธิบาย
ตอบ  การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจสติปัญญาความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข



3. หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วยอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ   มี 3 ประการคือ
(1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
(2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
(3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง



4. การจัดระบบโครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนดมีอะไรบ้าง
ตอบ  (1) มีเอกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
(2) มีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาสถานศึกษาและองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น
(3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
(4) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาและการพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
(5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆมาใช้ในการจัดการศึกษา
(6) การมีส่วนร่วมของบุคคลครอบครัวชุมชนองค์กรชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชนองค์กรเอกชนองค์กรวิชาชีพสถาบันศาสนาสถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น



5. สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีอะไรบ้าง
ตอบ 1. การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปีอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่เก็บค่าใช้จ่าย  
2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายจิตใจสติปัญญาอารมณ์สังคมผู้ด้อยโอกาสและผู้มีความสามารถพิเศษมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
3. พ่อแม่ผู้ปกครองบุคคลครอบครัวองค์กรชุมชนองค์กรเอกชนสถานประกอบการสถาบันศาสนาและสถาบันอื่นๆมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่บุตรหลานของตนหรือบุคคลทั่วไปผู้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าวมีสิทธิได้รับการสนับสนุนและเงินอุดหนุนจากรัฐรวมทั้งได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด



6. ระบบการศึกษามีกี่รูปแบบแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ     1. การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบคือการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบการศึกษา
ตามอัธยาศัยสถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนกันได้
            2. การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระดับคือการศึกษาขั้นพื้นฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษาสาหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานจะเรียกชื่อเป็นประถมศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรืออย่างอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวงการศึกษาระดับอุดมศึกษามี 2 ระดับคือระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา
           3. การศึกษาภาคบังคับมีกำหนด 9 ปีเด็กอายุ 6 ขวบต้องเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงอายุ 15 ขวบเว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับหลักเกณฑ์การนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
           4. การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐานให้จัดในสถานศึกษา 3 ประเภทคือ (1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (2) โรงเรียน (3) ศูนย์การเรียน
           5. การอาชีวศึกษาให้จัดในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนรวมทั้งสถานประกอบการและองค์กรหรือหน่วยงานอื่นตามกฎหมายว่าด้วยอาชีวศึกษา
            6. กระทรวงทบวงกรมรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐอาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานโดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติทั้งนี้ตามทหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง


7. การจัดการศึกษาในระบบมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ   การศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน ที่สำคัญ ในการดำเนินกิจกรรมทางการศึกษานั้น เกิดขึ้นทั้งที่ห้องเรียน รวมถึงการเรียนรู้นอกห้องเรียน อาทิ ที่บ้าน หรือการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยยึดถือเอาห้องเรียนเป็นฐานกลางของการจัดการศึกษา การศึกษาจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาคน และการที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการนั้นต้องอาศัยผลรวมของกระบวนการที่มีความ สัมพันธ์กัน คือ กระบวนการบริหารจัดการ กระบวนการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ 



8. สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลเป็นอย่างไร
ตอบ     กำหนดให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหาร และการจัดการศึกษา  ทั้งด้านวิชาการ  งบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่โดยตรง  การกระจายอำนาจดังกล่าว  จะทำให้สถานศึกษาคล่องตัว มีอิสระในการบริหารจัดการ  ตามหลักของการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน   ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพได้มาตรฐานและสามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  


9. แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึดอะไรบ้าง
ตอบ  แนวการจัดการศึกษาเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษาซึ่งถือว่าหลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้มีสาระสำคัญดังนี้
1. ยึดหลักว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ให้ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดและต้องให้แต่ละคนสามารถพัฒนาตามความถนัดความสนใจและเต็มศักยภาพของเขา
2. เนื้อหาสาระของการศึกษาทุกระบบทุกรูปแบบต้องเน้นความรู้คู่คุณธรรมและกระบวนการเรียนรู้โดยบูรณาการ (ผสมผสาน) ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
3. เนื้อหาสาระของวิชาความรู้ที่ต้องไปกำหนดหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องต่างๆต่อไปนี้
            (1) ความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมได้แก่ครอบครัวชุมชนชาติและสังคมโลกรวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทยและระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
           (2) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการการบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
          (3) ความรู้เกี่ยวกับศาสนาศิลปะวัฒนธรรมการกีฬาภูมิปัญญาไทยและการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา
          (4) ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาเน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
          (5) ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพและการดารงชีวิตอย่างมีความสุข



10. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่กำหนดให้ครูผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ตอบ    เห็นด้วย เพราะถ้าหากเราไม่มีใบประกอบวิชาชีพก็จะทำเราประกอบอาชีพอย่างไม่น่าเชื่อถือก็เหมือนกับหมอถ้าไม่มีใบรับรองการเปิดคลีนิกคนป่วยก็จะไม่กล้าเข้ารับการรักษาโรค เช่นเดียวกับครู หรือ ผู้บริหาร ถ้าไม่มีใบประกอบวิชาชีพเราก็ไม่สามารถประกอบอาชีพได้



11. มีวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่นของท่านได้อย่างบ้าง
ตอบ   ต้องคำนึงก่อนว่าในท้องถิ่นของเรามีทรัพยากรอะไรที่สามารถนำมาปรับใช้กับการเรียนการสอนได้และต้องให้ผู้ปกครองหรือประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนรู้เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างครู  ผู้บริหาร นักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อนำข้อติชมและข้อเสนอเหล่านั้นมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและแก้ไขเพื่อให้ระบบการศึกษาในท้องถิ่นของเรามีเอกลักษณ์และทันต่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้ประชาชนทันต่อโลกและเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน




12. การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามีวิธีการพัฒนาได้อย่างไร
ตอบ   ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์  ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาแบบเรียนตาราหนังสือทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์อื่นวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีอื่นโดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตจัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทั้งนี้โดยเปิดให้มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม  ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิตและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อให้มีความรู้ความสามารถและทักษะในการผลิตรวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมีคุณภาพและประสิทธิภาพ  ให้ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทาได้เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต


อนุทินที่ 2

อนุทิน 2

1.ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เป็นอย่างไร อธิบาย
 ตอบ   ผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7  เหตุผล คือ คณะราษฎร์ ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการสายทหารบก ทหารเรือ และสายพลเรือน จำนวน 99 คน โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ  ประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา คือ ให้สิทธิเสรีภาพกับทุกคนในการศึกษา โดยไม่บังคับการศึกษา


2. แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช  2492 ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย 
 ตอบ    ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
             หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
                          มาตรา 36 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการศึกษาอบรม เมื่อการศึกษาอบรมนั้นไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรมและไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรสถานศึกษา สถานศึกษาของรัฐและของเทศบาล ต้องให้ความเสมอภาคแก่บุคคลในการเข้ารับการศึกษาอบรมตามความสามารถของบุคคลนั้น ๆ
            หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย
                         มาตรา 53 บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมชั้นประถมศึกษา ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ
            หมวด 5 แนวนโยบายแห่งรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
                         มาตรา 62 การศึกษาอบรมพึงมีจุดประสงค์ที่จะให้ชนชาวไทยเป็นพลเมืองดี มีร่างกายแข็งแรงและอนามัยสมบูรณ์ มีความรู้ความสามารถที่จะประกอบอาชีพ และมีจิตใจเป็นนักประชาธิปไตย
                        ตรา 63 รัฐพึงส่งเสริมและบำรุงการศึกษาอบรม การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายในการควบคุมดูแลของรัฐ การศึกษาอบรมชั้นอุดมศึกษา รัฐพึงจัดการให้สถานศึกษาดาเนินกิจการของตนเองได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติ
                         มาตรา 64 การศึกษาอบรมชั้นประถมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและของเทศบาล จะต้องจัดให้โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน รัฐพึงช่วยเหลือให้มีอุปกรณ์การศึกษาอบรมตามสมควร มาตรา 65 รัฐพึงสนับสนุนการค้นคว้าในทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์



3. เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511 พุทธศักราช 2517 และ พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย 
 ตอบ   การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช   2511 2517 2521  มีความแตกต่างกัน ดังนี้
     พุทธศักราช 2511  เกี่ยวกับการศึกษาคือ บุคคลย่อมมีเสรีภาพสมบูรณ์เกี่ยวกับการศึกษา เมื่อการศึกษาอบรมนั่นไม่เป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรม และไม่ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรสถานศึกษา
    
 พุทธศักราช 2517  การศึกษาเริ่มเปลี่ยนไปเพราะทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีชนในการศึกษาเท่าเทียบเสมอกันในการศึกษาขั้นมูลฐาน ตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการศึกษาอบรม เมื่อไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ และการจัดตั้งสถานศึกษา
     
 พุทธศักราช 2521 การศึกษาเริ่มมีการส่งเสริมบำรุงการศึกษาการอบรมและฝึกอบรมตามความเหมาะสมและความต้องการของประเทศ การจัดการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภาคใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับทุนและปัจจัยต่างๆในการศึกษา



4. ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2549-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
 ตอบ การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช 2475-2490 และ พุทธศักราช 2549-2517 มีความแตกต่างกัน ดังนี้
             พุทธศักราช 2475-2490  คือ การศึกษาขึ้นอยู่กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยมีการควบคุมการศึกษาโดยหน่วยงานต่าง ๆ แต่ให้เสรีภาพในการศึกษาไม่บังคับอะไรมากมาย แต่ก็จำเป็นต้องศึกษา              พุทธศักราช 2549-2517 คือ การศึกษาเริ่มเป็นระบบมากขึ้น มีหน่วยงานของรัฐบาลให้ความช่วยเหลือในการศึกษาทั้งในเรื่องของ ทุนการศึกษา  และมีการบังคับให้ศึกษาตามระบบมีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาที่แน่นอน และมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจในการศึกษา


5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
 ตอบ  การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 และ พุทธศักราช 2540-2550 มีความแตกต่างกัน ดังนี้   พุทธศักราช 2521-2534 คือ รัฐพึงส่งเสริมการศึกษาและบำรุงการศึกษาอบรม  การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ แต่ในปี
    พุทธศักราช 2540-2550 คือ การศึกษาหรือบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ  ที่แตกต่างกันก็คือ เมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 การศึกษาไม่บังคับ แต่เมื่อพุทธศักราช 2540-2550 การศึกษามีการบังคับการศึกษา


6.  เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง อธิบาย
   ตอบ สาเหตุที่รัฐธรรมนูญต้องระบุในประเด็นการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงก็เพราะเพื่อให้คนไทยทุกคนได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของการให้การศึกษาเป็นไปอย่างมีระบบระเบียบ และต้องการให้มีสอดคล้องกันและมีการบังคับการศึกษาที่แน่นอน


7. เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนด บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติจงอธิบาย หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
  ตอบ   เหตุผลที่รัฐบาลต้องกำหนด บุคคลให้มีการศึกษา ก็เพราะ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้มีความรู้และนำความรูที่ได้ไปประกอบอาชีพ หากรัฐไม่กำหนดบุคคลให้มีการศึกษา ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทำให้คนไทยขาดความรู้และดำเนินชีวิตได้อย่างลำบาก


8. การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหากเราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และถ้าเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย
 ตอบ รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และหากเปิดโอกาสให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา คิดการศึกษาก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพราะองค์กรส่วนท้องถิ่นสามารถตีโจทย์ความต้องการของประชาชนหรือความต้องการของลูกหลานได้ว่าต้องการศึกษาในรูปแบบใด นี่คือส่วนหนึ่งที่ดีในการจัดการให้องค์กรมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา


9. เหตุใดการจัดการศึกษา รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย
 ตอบ สำหรับสาเหตุที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาให้คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมการศึกษาให้เท่าเทียบกันก็เพราะว่า อยากให้คนไทยทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาสได้มีโอกาสเท่าเทียมกันและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข


10. ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง จงอธิบาย  
 ตอบ สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาประเทศคือ ทำให้ประเทศเป็นระบบระเบียบและมีกฎหมายเอาผิดสำหรับบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย จึงทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างง่ายดายและมั่นคงมีการศึกษาที่เน้นให้คนในประเทศมีการศึกษาที่แน่นอน  และมีการบังคับให้การศึกษาอยู่ในระดับใด  ดั้งนั้นการพัฒนาประเทศจะเริ่มต้นได้จาก ผู้ปกครองประเทศร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ หากพัฒนาด้านใดด้านหนึ่งอีกด้านก็จะดีไปด้วย

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อนุทินที่ 1

อนุทินที่   1 

1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราเองต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
คำตอบ   เพราะ กฎหมายมีไว้บังคับไม่ให้คนกระทำความผิด กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่าง  เป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย ของคนในสังคม เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและความเสมอภาคสำหรับทุกๆคน กฎหมายมีไว้เพื่อเป็นกฎเกณฑ์หนึ่งที่ควบคุมนุษย์ทุกๆคนที่เกิดมาให้ทำตามกฎระเบียบเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจะไม่มีความวุ่นวายเเละมีความสุขแต่ความสุข    หากไม่มีกฎหมาย จะเป็นอย่างไร  บ้านเมืองคงมีปัญหาการวุ่นวาย มนุษย์ต่างคนต่างจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด  คนที่มีโอกาสมากกว่าก็จะโดนเอาเปรียบ โดยผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไป 



2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หรือหากไม่มีกฎหมายและจะเป็นย่างไร
คำตอบ   อยู่ไม่ได้   มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น ทุกวันมีการแย่งชิง อำนาจความเป็นใหญ่เกิดขึ้น จะมีแต่ผู้ที่มีอำนาจสูงจะอยู่ได้เปรียบกว่าผู้อื่น คงมีโจรเยาะ มีปัญหา อาชญากรรม มีปัญหาด้านการศึกษา  มีคนว่างงานที่มากขึ้น ดังนั้น จะมีแต่คนจน ไม่มีอาชีพที่มั่นคง มนุษย์ขาดศีลธรรม ต้องแย่งชิงกัน ฆ่ากันตาย เพื่อความอยู่รอดของแต่ละวัน และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไม่มีความสุข



3. ท่านมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นของกฎหมายต่อไปนี้ 
คำตอบ     ก. ความหมาย  ข้อบังคับกฎเกณฑ์ เพื่อไม่ให้มนุษย์ กระทำความผิด ถ้ามีการกระทำความผิด ก็จะมีโทษทางอาญา หรือทางแพ่ง สามารถเอาผู้ที่กระทำความผิด ไปรับโทษ  เพื่อตักเตือน ไม่ให้กระทำความผิดครั้งต่อไป              
   ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย   กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ  กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
  
  ค. ที่มาของกฎหมาย                       
              1.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจมีหลายลักษณะด้วยกัน                         
              2.จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่องเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณี มาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การชกมวยบนเวที ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิด หรือแพทย์ที่ตัดแขนตัดขาคนไข้โดยที่คนไข้ยินยอมก็ไม่มีความผิด                      
            3.หลักกฎหมายทั่วไป ในบางครั้งถึงแม้จะมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายจารีตประเพณี มาใช้พิจารณาตัดสินความแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอครอบคลุมได้ทุกเรื่อง จึงต้องมีการนำเอาหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางกฎหมาย ได้ยอมรับกฎหมายนั้นแล้ว มาปรับใช้ในการพิจารณาตัดสินคดีความด้วย เช่น หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้รับโอน โจทย์พิสูจน์ไม่ได้ต้องปล่อยตัวจำเลย คดีอย่างเดียวกันต้องพิพากษาตัดสิน
      ง  ประเภทของกฎหมาย                      (1)   กฎหมายมหาชน (Public Law)                      (2)   กฎหมายเอกชน (Private Law)                      (3)   กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)


4.  ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่าทุกประเทศจึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย 
คำตอบ   เพื่อเอาไว้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิด  ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคม   กฎหมาย มีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมใช้บังคับได้ทั่วไป ใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเสียค่าปรับหรือจำคุก



5.  สภาพบังคับทางกฎหมาย ท่านมีความเข้าใจ ว่า อย่างไร จงอธิบาย
คำตอบ      1. สภาพบังคับตามกฎหมาย
                      - สภาพบังคับตามกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเอกชนโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายเอกชนหรือการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน เอกชนไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้การเป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่โดยอำนาจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ เอกชนจึงต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้องค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน
                     - สภาพบังคับทางปกครอง โดยที่ฝ่ายปกครองดำเนินภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การที่ฝ่ายปกครองออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้มีหน้าที่ตามคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายปกครองจึงมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้เอง โดยไม่ต้องไปอาศัยบารมีของศาล รายละเอียดดูแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ 113/2545
                  2. ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
                     - พนักงานคดีปกครองเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลปกครองที่สังกัดสำนักงานศาลปกครอง ทำหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการศาลปกครองในการรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้น ตรวจรับคำฟ้อง คำให้การ เพื่อเสนอความเห็นเบื้องต้นต่อตุลาการผู้รับผิดชอบสำนวน รวมทั้งมีหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการตามที่ได้รับมอบหมายจากตุลาการในการพิจารณาคดีปกครอง
                     - ตุลาการเจ้าของสำนวน องค์คณะของตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นมี คน เมื่อมีการส่งสำนวนให้องค์คณะใดองค์คณะหนึ่ง ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งตั้งให้ตุลาการคนใดคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนเพื่อเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำชี้แจงของคู่กรณี และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยให้พนักงานคดีปกครองเป็นผู้ช่วยดำเนินการตามที่ตุลาการเจ้าของสำนวนมอบหมาย
                      - ผู้แถลงคดีปกครอง โดยปกติแล้วจะตั้งตุลาการในศาลปกครองเป็นผู้แถลงคดี ปกครอง ตุลาการผู้แถลงคดีจึงไม่ใช่ตุลาการในองค์คณะของตุลาการผู้รับผิดชอบสำนวน ตุลาการผู้แถลงคดีมีหน้าที่ในการเสนอความเห็นในทางกฎหมาย หลังจากที่ได้รับผิดชอบสำนวนจากตุลาการเจ้าของสำนวน โดยตุลาการผู้แถลงคดีจัดทำสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเห็นของตนในการวินิจฉัยคดีนั้นเสนอต่อองค์คณะพิจารณาพิพากษา 

                  - สภาพบังคับตามกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเอกชนโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายเอกชนหรือการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน เอกชนไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้การเป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่โดยอำนาจของตนเอง ด้วยเหตุนี้               
                - สภาพบังคับทางปกครอง โดยที่ฝ่ายปกครองดำเนินภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การที่ฝ่ายปกครองออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้มีหน้าที่ตามคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายปกครองจึงมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้เอง โดยไม่ต้องไปอาศัยบารมีของศาล รายละเอียดดูแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ 

                

6.  สภาพข้อบังคับกฎหมาย ในอาญา และทางแพ่งมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
คำตอบ  สภาพข้อบังคับของกฎหมายอาญา    โทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฏีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ ทฤษฏี คือ ทฤษฏีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฏีสัมพันธ์
 1. กฎหมายแพ่ง คือกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองและครอบครัว ดังนี้  
ตัวอย่างเช่น  การหมั้น เป็นการที่หญิงชายตกลงทำสัญญาว่าจะทำการสมรสกัน การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์อันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง แต่ในการสมรสนั้นไม่ได้บังคับว่าจะมีการหมั้นก่อน แต่ถ้าหมั้นก็จะมีผลผูกพันกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องปฎิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการหมั้น เช่น ของหมั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที เมื่อมีการหมั้นแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย ฝ่ายหญิงก็ไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย



7.  ระบอบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
คำตอบ   รูปแบบ แนวความคิดในการบัญญัติกฎหมายมาบังคับใช้ ซึ่งประเทศต่างๆ            
  1. ระบบ Common Law (ระบบกฎหมายจารีตประเพณี)   เป็นระบบที่ได้พัฒนาขึ้นในประเทศอังกฤษตั้งแต่อดีตกาล เป็นระบบกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ จะยึดถือตามคำพิพากษาซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกฎหมาย ซึ่งในมุมมองของนักกฎหมายที่ใช้ระบบนี้ มีความคิดเห็นว่าการยึดตามตัวบทกฎหมายอาจจะทำให้ไม่เป็นธรรม กล่าวคือ ภาษาที่ใช้ร่างกฎหมายสามารถตีความได้หลายนัย การตัดสินคดีในเรื่องเดียวกัน อาจจะวินิจฉัยต่างกันออกไปก็ได้           
2. ระบบ Civil Law (ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร)   กล่าวคือ ระบบประมวลกฎหมาย ระบบกฎหมายนี้ได้พัฒามาจากโรมัน ซึ่งเป็นระบบที่เก่าแก่และใช้กันมาอย่างยาวนาน ระบบนี้จะยึดตามประมวลกฎหมาย ซึ่งกฎหมายจะถูกตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  



8.  ประเภทของกฎหมายมีมีกี่ประเภท และหลักการอะไรบ้าง  แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้างจงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
คำตอบ   ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภท  คือ             
  1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย            
   2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย              
 3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
              1.  ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก  กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
              2. ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law Systemเป็นกฎหมาย   ที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้งบันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี    หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายในเครือจักรภพของอังกฤษ             


9.  ท่านเข้าใจของคำว่าศักดิ์ กฎหมาย คืออะไร มีกรแบ่งอย่างไร
คำตอบ   เกณฑ์ที่ใช้กำหนดศักดิ์ของกฎหมายพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย  กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา  และเป็นการใช้อำนาจในการออกกฎหมายร่วมกันของสองสภา  คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด
               รัฐธรรมนูญ  คือ  กฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตลอดจนสิทธิต่างๆ ของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญมากกว่ากฎหมายฉบับใด  กฎหมายฉบับอื่นจะบัญญัติโดยมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้  หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบับนั้นจะถือว่าไม่มีผลบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ             

             

10.  เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555  มีเหตุการณ์การชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่า  จะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศ เป็นพื้นที่ที่ห้ามชุมชน  และขัดขวางไม่ให้ประชาชน ชุมนุมกันอย่างสงบสุข  และลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน    ในฐานะที่ท่านเรียนวิชานี้  ท่านจะ อธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาล  กระทำถูกหรือผิด
คำตอบ    การกระทำผิดกฎหมาย   เพราะรัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชนมากเกินไป ใช้อำนาจ มาขู่ข่มประชาชนไม่ให้สิทธิกับประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ประชาชนสามารถเอาผิดกับรัฐบาลได้โดยการยื่นข้อเสนอที่ดีกระทำตนที่ถูกต้องไม่เอาเปรียบประชาชนและยื่นมติข้อกฎบังคับของประชาชนที่ถูกต้องเพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชนของประเทศนั้น ๆ



11 ท่านมีความรู้ความเข้าใจกับกฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
คำตอบ    เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา  การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 
การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถานศึกษาจัดได้ทั้งสามรูปแบบ และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
 การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
             
  การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ             



12.  ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
คำตอบ    มีผลกระทบ ก็คือ การจัดระเบียบของข้อบังคับ ไม่ครบตามองค์เป้าหมาย มีปัญหาต่างๆ เช่นการทุจริต การคอรัปชั่นของผู้ที่กระทำความผิดเอาเปรียบผู้อื่น กฎหมายเอาโทษกับผู้ที่กระทำความผิดไม่ได้ จึงเป็นปัญหาอย่างยิ่งที่เราต้องมีกฎหมายเป็นข้อบังคับของผู้ที่จะกระทำความผิด มาลงโทษตามคดีของกฎหมายที่ได้จัดระเบียบที่เหมาะสม ด้วยข้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจำคุก การเสียค่าปรับ เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แนะนำตัวเอง

ประวัติส่วนตัว
ชื่่อ  นางสาวจิณห์วรา    ทองฉิม
รหัส.  5311101097
คณะครุศาสตร์    เอกการศึกษาปฐมวัย   กลุ่มเรียน  03
เกิดวันอาทิตย์  ที่  25  สิงหาคม  2534   อายุ  22  ปี
บ้านเลขที่  85  ม. 1    ต.สินปุน     อ.เขาพนม     จ.กระบี่    80240

ประวัติการศึกษา
จบการศึกษาระดับอนุบาลที่     โรงเรียนอักษรวิทย์  
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่     โรงเรียนบ้านห้วยสาร
จบการศึกษาระดับมัธยมตอนต้นที่     โรงเรียนสินปุนคุณวิทญ์
จบการศึกษาระดับมัธยมตอนปลายที่  วิทยาลัยเทคนิคกระบี่
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีที่  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

ประวัติครอบครัว
ครอบครัวมีกันทั้งหมด   4  คน
บิดาชื่่อ  นายอรรณพ    ทองฉิม     อาชีพ   ทำสวน
มารดา   นางราตรี         รักษ์วงค์   อาชีพ    ทำสวน
พี่สาวชื่อ  นางสาวจิณห์วรา   ทองฉิม    อาชีพ  กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี
น้องสาวชื่อ นางสาววรรณวิสา    ทองฉิม   กำลังศึกษาอยู่ระดับมัธยมตอนปลาย  ม.6
บิดาและมารดาอาศัยอยู่ด้วยกัน

ปรัชญาในการดำรง
หยาดเหงื่อของพ่อ - แม่  คือกระแสแห่งความหวัง
ศรัทธาในพระจีน  และการกินเจ